เพิ่งเก็บ "คลีนชีต" ได้แค่ 2 นัด
ในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล เพิ่งเก็บ "คลีนชีต" ได้แค่ 2 นัดเท่านั้นเองในเกมบุกถล่ม เบิร์นลี่ย์ 3-0 กับเกมบุกเชือด เชฟฯ ยูไนเต็ด 1-0 นอกนั้นอีก 9 นัด เสียประตูทุกนัด อย่างไรก็ตาม ไม่มีเกมใดที่หงส์แดงเสียมากกว่า 1 ประตูเช่นกัน
ในเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการชัยชนะมากกว่า ถามว่า แมนฯ ซิตี้ จะหาญกล้าและบ้าบิ่นในการเล่นเกมรุกบุกกระหน่ำขนาดไหน อืมมมมม...นะ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมกระแทกนิ้วถึง "วิธีกำราบหงส์แดง" จาก "กรณีตัวอย่าง" ที่เคยเกิดขึ้นไปแล้วในฤดูกาลนี้ โดยสิ่งที่พอมองจะมองเห็น คืออย่าเล่นเกมรับแบบรถบัสกับ ลิเวอร์พูล เพราะคุณไม่มีทางเอาอยู่
ตัวอย่างและเหยื่อรายล่าสุดคือ แอสตัน วิลล่า ครั้งแรกทีมสิงห์ผยองเจ้าบ้านยังไม่ถึงกับอุดประตูพลางหาจังหวะจู่โจมแบบเป็นระยะ ผลคือพวกเขาขึ้นนำก่อน 1-0
ต่อเมื่อถอยมาตั้งรับชนิดเต็มรูปแบบ สุดท้ายก็เสีย 2 ประตูพลางแพ้พ่ายไปอย่างแสบสันต์รูตูด ทว่า แมนฯ ซิตี้ เองก็เป็นทีมที่ไม่มีเกียร์ถอยหลังอยู่แล้ว มันจึงขึ้นอยู่กับตัวเอวนั่นแหละว่าจะกล้าเสี่ยงเดิมพันด้วยการเปิดหน้าเข้าหาเจ้าถิ่นอย่างหงส์แดงเลยหรือเปล่า
ซึ่งบางทีการทำแบบนั้นอาจไม่ต่างจากการอมปากกระบอกปืนลูกซองแฝดแล้วเหนี่ยวไก จึงคาดว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คงจะต้องใช้กลยุทธ์การครองบอลให้ได้มากกว่าคู่แข่งตามสไตล์ตัวเองนั่นแหละ
เพียงแต่ต้องเพิ่มความรัดกุมและระวัดระวังเข้าไปให้มากขึ้น ห้ามเสียบอลง่ายๆ และต้องไม่อนุญาตให้ ลิเวอร์พูล ใช้จุดเด่นจู่โจมจี้จุดอ่อนของตัวเอง ด้วยการตัดเกมทันที ซึ่งทั้งหมดคือแทคติกที่พวกเขาใช้ในการมาเยือน แอนฟิลด์ เมื่อซีซั่นที่แล้ว
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อาจมองว่าผลเสมอไม่ใช่เรื่องเสียหาย หากจบเกมนี้แล้วระยะห่างยังเท่าเดิมที่ 6 แต้ม เส้นทางยังอีกยาวไกล และอย่างน้อยก็ดีกว่าโดนทิ้งห่างเป็น 9 แต้ม แล้ว เจอร์เก้น คล็อปป์ ล่ะ เขาจะคิดแบบไหน ???
บางทีพี่แกอาจมองว่าการเสมอกับ แมนฯ ซิตี้ ในถิ่นตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรมากมาย...ก็เป็นได้ แถมจบเกมนี้ไป บรรดาทีมใหญ่ๆ ในพรีเมียร์ลีกก็มีคิวที่จะเจอกับ แมนฯ ซิตี้ อีกเพียบเลย
พูดง่ายๆ ว่ามีโอกาสทำแต้มหล่นอีก หรือบางทีอาจสั่งให้ลูกทีมเล่นแบบ 'เอาตาย' ไปเลย มันจะได้จบๆ ไป ไม่ยืดเยื้อ ด้วยฟุตบอลแบบ เฮฟวี่ เมทั่ล เข้าบดบี้ไม่ให้หายใจหายคอ
แต่หากต่างฝ่ายต่างระมัดระวัง รูปเกมอาจจะออกมาแบบเกร็งๆ อัตราความเมามันจึงอาจไม่กระฉูดแตกสักเท่าไหร่ นี่คือสิ่งที่พอจะวิเคราะห์ออกมาได้ด้วยเหตุผลของฟุตบอลแบบเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งมองมุมไหนก็คงเป็นเรื่องยากที่ แมนฯ ซิตี้ จะกลับออกมาจาก แอนฟิลด์ พร้อม 3 แต้ม
นั่นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถึงพยายามเล่นสงครามจิตวิทยาด้วยการแดกดันนักเตะบางคนของหงส์แดงว่าเป็น...ไอ้ขี้พุ่ง เข้าใจว่าพี่แกคงต้องการยั่ว เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้ขึ้นจนโทโสออกมา
อีกจุดประสงค์หนึ่งเหมือนต้องการส่งข้อความถึงผู้ตัดสินในเกมนี้อย่าง ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ โดยตรง ประมาณว่ามึงช่วยกรุณาจับตาดูผู้เล่นบางคนของ ลิเวอร์พูล ที่ชอบพุ่งล้มเอาจุดโทษหน่อยนะครับ ถ้าคุณพี่เขาโดนเตะในเขตโทษก็ควรใช้ทั้งวิจารณญาณและหัวแม่ตีนในการไตร่ตรองอย่างจงหนัก อะไรประมาณนั้น
แต่ผมอยากบอก 'เป๊ป' เหลือเกินว่า...มึงพลาดแล้ว อยู่ดีไม่ว่าดีดันเอานิ้วเปียกน้ำไปแหย่ปลั๊กไฟซะอย่างนั้น กาลครั้งหนึ่งในพรีเมียร์ลีก เดวิด มอยส์ สมัยที่ยังเป็นกุนซือของ เอฟเวอร์ตัน อยู่ดีไม่ว่าดีดันวิจารณ์ดาวยิงของ ลิเวอร์พูล อย่าง หลุยส์ ซัวเรซ ก่อนศึก เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ว่าเป็น...ไอ้ขี้พุ่ง
ทันใดที่ "พี่เฉาะ" กะซวกตาข่ายได้สำเร็จในเกมนั้น พี่แกก็วิ่งไปแสดงท่าดีใจด้วยการพุ่งถลาลมต่อหน้ากุนซือทีมลูกอม ถือเป็นการประชดประชันที่มีอัตราความดูดตีนสูงส่งยิ่งนัก ซึ่งมันคงจะคลาสสิกมาและดราม่ามาก
ในเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการชัยชนะมากกว่า ถามว่า แมนฯ ซิตี้ จะหาญกล้าและบ้าบิ่นในการเล่นเกมรุกบุกกระหน่ำขนาดไหน อืมมมมม...นะ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมกระแทกนิ้วถึง "วิธีกำราบหงส์แดง" จาก "กรณีตัวอย่าง" ที่เคยเกิดขึ้นไปแล้วในฤดูกาลนี้ โดยสิ่งที่พอมองจะมองเห็น คืออย่าเล่นเกมรับแบบรถบัสกับ ลิเวอร์พูล เพราะคุณไม่มีทางเอาอยู่
ตัวอย่างและเหยื่อรายล่าสุดคือ แอสตัน วิลล่า ครั้งแรกทีมสิงห์ผยองเจ้าบ้านยังไม่ถึงกับอุดประตูพลางหาจังหวะจู่โจมแบบเป็นระยะ ผลคือพวกเขาขึ้นนำก่อน 1-0
ต่อเมื่อถอยมาตั้งรับชนิดเต็มรูปแบบ สุดท้ายก็เสีย 2 ประตูพลางแพ้พ่ายไปอย่างแสบสันต์รูตูด ทว่า แมนฯ ซิตี้ เองก็เป็นทีมที่ไม่มีเกียร์ถอยหลังอยู่แล้ว มันจึงขึ้นอยู่กับตัวเอวนั่นแหละว่าจะกล้าเสี่ยงเดิมพันด้วยการเปิดหน้าเข้าหาเจ้าถิ่นอย่างหงส์แดงเลยหรือเปล่า
ซึ่งบางทีการทำแบบนั้นอาจไม่ต่างจากการอมปากกระบอกปืนลูกซองแฝดแล้วเหนี่ยวไก จึงคาดว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คงจะต้องใช้กลยุทธ์การครองบอลให้ได้มากกว่าคู่แข่งตามสไตล์ตัวเองนั่นแหละ
เพียงแต่ต้องเพิ่มความรัดกุมและระวัดระวังเข้าไปให้มากขึ้น ห้ามเสียบอลง่ายๆ และต้องไม่อนุญาตให้ ลิเวอร์พูล ใช้จุดเด่นจู่โจมจี้จุดอ่อนของตัวเอง ด้วยการตัดเกมทันที ซึ่งทั้งหมดคือแทคติกที่พวกเขาใช้ในการมาเยือน แอนฟิลด์ เมื่อซีซั่นที่แล้ว
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อาจมองว่าผลเสมอไม่ใช่เรื่องเสียหาย หากจบเกมนี้แล้วระยะห่างยังเท่าเดิมที่ 6 แต้ม เส้นทางยังอีกยาวไกล และอย่างน้อยก็ดีกว่าโดนทิ้งห่างเป็น 9 แต้ม แล้ว เจอร์เก้น คล็อปป์ ล่ะ เขาจะคิดแบบไหน ???
บางทีพี่แกอาจมองว่าการเสมอกับ แมนฯ ซิตี้ ในถิ่นตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรมากมาย...ก็เป็นได้ แถมจบเกมนี้ไป บรรดาทีมใหญ่ๆ ในพรีเมียร์ลีกก็มีคิวที่จะเจอกับ แมนฯ ซิตี้ อีกเพียบเลย
พูดง่ายๆ ว่ามีโอกาสทำแต้มหล่นอีก หรือบางทีอาจสั่งให้ลูกทีมเล่นแบบ 'เอาตาย' ไปเลย มันจะได้จบๆ ไป ไม่ยืดเยื้อ ด้วยฟุตบอลแบบ เฮฟวี่ เมทั่ล เข้าบดบี้ไม่ให้หายใจหายคอ
แต่หากต่างฝ่ายต่างระมัดระวัง รูปเกมอาจจะออกมาแบบเกร็งๆ อัตราความเมามันจึงอาจไม่กระฉูดแตกสักเท่าไหร่ นี่คือสิ่งที่พอจะวิเคราะห์ออกมาได้ด้วยเหตุผลของฟุตบอลแบบเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งมองมุมไหนก็คงเป็นเรื่องยากที่ แมนฯ ซิตี้ จะกลับออกมาจาก แอนฟิลด์ พร้อม 3 แต้ม
นั่นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถึงพยายามเล่นสงครามจิตวิทยาด้วยการแดกดันนักเตะบางคนของหงส์แดงว่าเป็น...ไอ้ขี้พุ่ง เข้าใจว่าพี่แกคงต้องการยั่ว เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้ขึ้นจนโทโสออกมา
อีกจุดประสงค์หนึ่งเหมือนต้องการส่งข้อความถึงผู้ตัดสินในเกมนี้อย่าง ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ โดยตรง ประมาณว่ามึงช่วยกรุณาจับตาดูผู้เล่นบางคนของ ลิเวอร์พูล ที่ชอบพุ่งล้มเอาจุดโทษหน่อยนะครับ ถ้าคุณพี่เขาโดนเตะในเขตโทษก็ควรใช้ทั้งวิจารณญาณและหัวแม่ตีนในการไตร่ตรองอย่างจงหนัก อะไรประมาณนั้น
แต่ผมอยากบอก 'เป๊ป' เหลือเกินว่า...มึงพลาดแล้ว อยู่ดีไม่ว่าดีดันเอานิ้วเปียกน้ำไปแหย่ปลั๊กไฟซะอย่างนั้น กาลครั้งหนึ่งในพรีเมียร์ลีก เดวิด มอยส์ สมัยที่ยังเป็นกุนซือของ เอฟเวอร์ตัน อยู่ดีไม่ว่าดีดันวิจารณ์ดาวยิงของ ลิเวอร์พูล อย่าง หลุยส์ ซัวเรซ ก่อนศึก เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ว่าเป็น...ไอ้ขี้พุ่ง
ทันใดที่ "พี่เฉาะ" กะซวกตาข่ายได้สำเร็จในเกมนั้น พี่แกก็วิ่งไปแสดงท่าดีใจด้วยการพุ่งถลาลมต่อหน้ากุนซือทีมลูกอม ถือเป็นการประชดประชันที่มีอัตราความดูดตีนสูงส่งยิ่งนัก ซึ่งมันคงจะคลาสสิกมาและดราม่ามาก
ติดตามข่าวสารได้ที่ mobemarketplace.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น