อาวุธทำลายล้าง

ฤดูกาลนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ใส่อาวุธทำลายล้างเพิ่มเข้าไปอีก ถ้าพูดให้สละสลวยก็คือบอลยาวจากแดนลึก ถ้าพูดให้เหมือนกับที่เคยใช้กับทีมอื่นก็คือบอลโยนนั่นแหละ

เราได้เห็นลิเวอร์พูลเล่นบอลโยนบ่อยจนถี่ เพียงแต่บอลโยนของลิเวอร์พูลแตกต่างออกไปจากทีมอย่างวิมเบิลดัน มิลล์วอลล์ สโต๊ค ซิตี้ หรือทีมลูกหนังอังกฤษหลายทีมในยุคเอจตี้ส์

ไม่ใช่ว่าการโยนของลิเวอร์พูลเน้นกว่า ได้ผลมากกว่าหรือมีประสิทธิภาพสูงกว่าอะไรอย่างนั้น ที่มันไม่เหมือนกันก็คือต่อให้โยนถี่โยนบ่อยแค่ไหนก็ไม่มีใครปรามาสลิเวอร์พูลว่าเป็นบอลโยนได้

เพราะเรายังนึกภาพกันออกว่าฟุตบอลของลิเวอร์พูลเป็นอย่างไร สไตล์ของพวกเขาเป็นอย่างไร บอลโยนแค่เข้ามาเป็นอาวุธเสริม ไม่ใช่อาวุธหลัก กลายเป็น ไมค์ ไทสัน ที่เพิ่มหมัดแย็บดุเดือด เป็น ยูเซน โบลต์ ที่วิ่งระยะกลางได้ เป็น โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ที่เก่งคอร์ตดิน

นี่คือความแตกต่าง โยนเหมือนกันแต่โยนไม่เหมือนกัน.. การเข้าทำของลิเวอร์พูลที่ทำอันตรายคู่ต่อสู้ได้จึงมีทั้งลูกครอสจากฟูลแบ๊ก เจาะเข้าทำตรงกลาง ยิงไกล พาบอลแหวกแนวป้องกัน สวิตช์ข้ามฟาก ตัดเข้ากลางแล้วยิง ฝากแล้วไป ตักข้ามแนวรับ ฟรีคิก เตะมุม หรือกระทั่งลูกพิสดารของมหาเทพที่คุณก็รู้ว่าใคร (ยิงแป้กยังเป็นแอสซิสต์อะคิดดู)

เมื่อบวกลูกโยนยาวจากแดนตัวเองไดเร็กต์ไปถึงแดนหน้าอย่างรวดเร็วเข้าไปอีก จังหวะดีก็ยิงได้เลย จังหวะต้องแต่งอย่างน้อยก็ใกล้เขตโทษคู่ต่อสู้อย่างฉับพลัน ที่สำคัญคือบอลโยนยาวของหงส์แดงนั้นแม่นยำ จุดตกแทบจะลงที่เท้าของเพื่อนและพื้นที่เปิดโล่งตรงหน้าเสมอ แสดงให้เห็นถึงการซักซ้อมจริงจังและความเข้าใจเกมว่าจังหวะไหนควรปล่อยบอลยาว จังหวะไหนควรเล่นสั้นๆ ง่ายๆ อย่างปกติ

เมื่อเป็นอย่างนี้คู่ต่อสู้ก็ยิ่งรับมือกับลิเวอร์พูลได้ยาก มันคือพัฒนาการของพวกเขา เพราะคล็อปป์ไม่เคยหยุดพัฒนาทีม ฤดูกาลก่อนว่าดีแล้ว ฤดูกาลนี้ต้องดีขึ้นอีก แล้วลิเวอร์พูลก็ดีขึ้นอีกจริงๆ มันเป็นรูปธรรม

ฤดูกาลที่แล้วเตะมาถึงตรงนี้นัดที่ 17 ลิเวอร์พูลชนะ 14 เสมอ 3 รั้งจ่าฝูงก็จริงแต่นำแมนเชสเตอร์ ซิตี้แค่แต้มเดียว ฤดูกาลนี้เตะ 17 นัดเท่ากัน ลิเวอร์พูลชนะ 16 เสมอ 1 นำเลสเตอร์ ซิตี้อันดับสอง 10 คะแนน นำแมนฯ ซิตี้อันดับสาม 11 คะแนนแถมยังมีเกมในมืออีกหนึ่งเกม

ฤดูกาลที่แล้วเตะมาถึงตรงนี้ก่อนเข้าคริสต์มาส ลิเวอร์พูลยังมือเปล่า เข้ารอบแชมเปี้ยนส์ลีกในฐานะรองแชมป์กลุ่มด้วยสถิติชนะ 3 แพ้ 3 และยังตกรอบสามลีกคัพ

ฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลฉลองคริสต์มาสด้วยแชมป์สโมสรโลกสมัยแรกของตัวเองที่ตามมาสมทบกับแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ หรือจะรวมแชมป์ยุโรปสมัย 6 เข้าไปด้วยก็ไม่ว่ากัน เข้ารอบแชมเปี้ยนส์ลีกในฐานะแชมป์กลุ่มด้วยผลงานชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 1 เข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศลีกคัพ

ทำกำไรไปแล้ว 6 คะแนนจากโปรแกรมเดียวกันของซีซั่นก่อน จากเสมอเลสเตอร์ในแอนฟิลด์เปลี่ยนเป็นชนะ จากเสมอเชลซีที่สแตมฟอร์ด บริดจ์เปลี่ยนเป็นชนะ จากเสมอแมนฯ ซิตี้ในบ้านตัวเองก็เปลี่ยนเป็นชนะ

ดีขึ้นจริงๆ อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านมาถึงตรงนี้ลองดูตารางคะแนนของลีกใหญ่ในยุโรปดูสิครับ พรีเมียร์ลีก ลา ลีกา กัลโช่ เซเรีย อา บุนเดสลีกา ลีกเอิง ไล่ไปถึงลีกอื่นๆ ทั้ง รัสเซีย โปรตุเกส เบลเยียม ฮอลแลนด์ ตุรกี..


ลิเวอร์พูลเป็นทีมเดียวที่ยังไม่แพ้ใคร แมนฯ ซิตี้แพ้ไปแล้ว 4 นัด บาร์เซโลน่าแพ้ 3 นัด เรอัล มาดริดแพ้ 1 ยูเวนตุสแพ้ 1 อินเตอร์แพ้ 1 บาเยิร์นแพ้ 4 ดอร์ทมุนด์แพ้ 3 เปแอสเชที่ว่าเหนือชั้นในลีกเมืองน้ำหอมก็ยังแพ้ไปแล้ว 3 นัด

อาแจ๊กซ์แพ้ 2 พีเอสวีแพ้ 4 เซนิตฯ แพ้ 2 กาลาตาซารายแพ้ 4 เฟเนร์บาห์เช่แพ้ 4 เบนฟิก้าแพ้ 1 ปอร์โต้แพ้ 1 สปอร์ติ้ง ลิสบอนแพ้ 4 คลับบรูชแพ้ 1 เซลติก กับ เรนเจอร์ส แห่งเมืองกลาสโกว์ก็พบกับความพ่ายแพ้ไปแล้วทีมละ 1 ครั้ง

เกือบทุกทีมในยุโรปแพ้ในลีกหมดแล้ว มันยังไล่ลงไปถึงลีกล่างด้วย แชมเปี้ยนชิพ-ลีกวัน-ลีกทูของอังกฤษ ลีกาสอง-ลีกาสามของเยอรมัน เซกุนด้าดิวิชั่น กับ เซกุนด้าเบ 4 กลุ่มย่อยของสเปน เซเรียบี กับ เซเรียซี 3 กลุ่มย่อยของอิตาลี ลีกเดอซ์ กับ ลีกนาซิยงนาล 3 กลุ่มย่อยของฝรั่งเศส

ในจำนวนทั้งหมดที่ว่ามานี้ มีเพียง เรจจิน่า จากเซเรียซีกลุ่มซี และ เซอด็อง จากลีกนาซิยงนาลเดอซ์ สองทีมเท่านั้นที่ยังไม่แพ้ใครเช่นกัน..มันก็เป็นรูปธรรมชัดเจนอีก ลิเวอร์พูลดีขึ้นและยังจะดีขึ้นไปได้อีก

เสียงเชียร์ในสนามไม่ได้เป็นของแฟนบอลฟลาเมงโก้แล้ว สู้กัน 90 นาทีพวกเขาทำได้ แต่เลยออกไปไกลกว่านั้นเกินขีดจำกัดของพวกเขาแล้ว

แชมป์จากอเมริกาใต้สู้เต็มที่แล้วครับ แต่ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ดีกว่า แน่นอนกว่า ผ่อนสั้นผ่อนยาวได้ลงตัวกว่า ถ้าเป็นลิเวอร์พูลเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว.. ไม่แน่ โทรฟี่แชมป์สโมสรโลกอาจอยู่บนเครื่องบินขากลับริโอ เด จาเนโร ก็ได้ กลับไปพร้อมๆ กับปาร์ตี้ยาวนานของนักเตะฟลาเมงโก้ที่ได้ย้ำแค้นหงส์แดงอีกหน

แต่เมื่อเป็นลิเวอร์พูลในตอนนี้ก็เสียใจด้วยฟลาเมงโก้ ดีใจที่ได้ปะทะแข้งกัน พวกนายเล่นดีมาก ถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอกันใหม่ แล้วก็ขอแสดงความยินดีด้วยกับแชมป์ลีกบราซิลและแชมป์โกปา ลิเบร์ตาดอเรสครั้งแรกในรอบเกือบสี่ทศวรรษ

ติดตามข่าวสารได้ที่ luminokaya.com

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิบากกรรม 'เอบูเอ้'

เด็กหัวฟูกับผู้ใหญ่หน้าเครียด

เมื่อยูโร 2020 กลายเป็นยูโร 2021