หมดประโยชน์
ผมพยายาม "งม" หาเหตุผลที่บอกว่าทำไม แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงยอมปล่อย อเล็กซิส ซานเชซ ให้ อินเตอร์ มิลาน ยืมตัวไปใช้จนจบฤดูกาล โดยที่ตัวเองต้องช่วยออกค่าเช่าให้เขาด้วยเป็นเงินถึง 3 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ (ตามข่าว)
เรียนตามตรงว่ามันไม่ค่อยเมคเซ้นส์สักเท่าไหร่ เพราะการทำอะไรแบบนี้ คุณจะมั่งคั่งและร่ำรวยอย่างเดียวไม่พอนะครับ มันต้องแดกส์ขี้เป็นอาหารด้วย เหตุผลที่พอจะมีน้ำหนักเพียงเหตุผลเดียวที่มองเห็นคือลดค่าใช้จ่ายของตัวเองออกไปได้ประมาณสัปดาห์ละ 1 แสนปอนด์
เข้าใจว่า แมนฯ ยูไนเต็ด คงจะไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนและพิจารณาอย่างจงหนักแล้วประเมิณว่านักเปียโนเอกผู้นี้ไม่อยู่ในแผนการทำทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา - ฟอร์มการเล่นก็ตกต่ำอย่างไม่มีทีท่าว่าจะกลับชาติมาเกิดใหม่ แถมสภาพร่างกายก็ไม่สมบูรณ์จนถูกอาการบาดเจ็บบุกมารบกวนแบบเป็นระยะ
สรุปได้ว่า "หมดประโยชน์" นั่นแหละ และขืนอยู่ต่อไปก็คงไม่ได้ลงสนามแน่ๆ ในเมื่อไม่หลงเหลือคุณค่าห่าเหวอะไรแล้วสู้ปล่อยให้ทีมอื่นยืมโดยช่วยเขาจ่ายค่าจ้าง อย่างน้อยก็ช่วยแบ่งเบาภาระของตัวเองได้บ้าง แถมถ้าไม่ช่วยออกค่าเช่า เขาก็คงไม่ยืมตัวไปเล่นแน่ ว่าแล้ถือว่าดีกว่าจ่ายค่าเสียหายแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกสัปดาห์โดยที่เจ้าตัวเล่นชักเย่อกับหำตัวเองไปวันๆ
แล้วไอ้ค่าใช้จ่ายที่ลดลงไปประมาณ 1 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์เนี่ยก็สามารถเอาไปเพิ่มเป็นค่าเหนื่อย เพื่อล่อใจให้ ดาบิด เด เคอา ตัดสินใจยอมต่อสัญญาใหม่ดีกว่า นี่น่าจะเป็น "ข้อดี" ที่พอจะมองหาได้บ้างจากดีลนี้
นับตั้งแต่ เดวิด กิลล์ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าผู้บริหารระดับสูงไปพร้อมกับท่านพระยาหมื่นอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ดูเหมือนบอร์ดบริหารของสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะทำอะไรผิดจังหวะไปหมด
คนที่เข้ามาเสียบแทนตำแหน่งซีอีโออย่าง ฯพณฯ เอ็ด วู๊ดเวิร์ด มีปัญหาในเรื่องฟุตบอลอย่างชัดเจน เหตุเพราะคุณพี่เขาเป็นแค่อดีตนายธนาคารที่ไม่ได้ชื่นชอบหรือหลงไหลในเกมลูกหนังเป็นทุนเดิม
แล้วไอ้ที่สามารถเข้ามาดำรงค์ตำแหน่งหัวหน้าผู้บริหารระดับสูงควบตำแหน่งรองประธานสโมสรก็เพราะเป็นคนเดินเรื่อง - ติดต่อ - ประสานงาน และวิ่งเต้นให้ มัลคอล์ม เกลเซอร์ & แฟมิลี่ เข้ามาควบคุมกิจการสโมสรปีศาจแดงแบบเบ็ดเสร็จในปี 2005
พูดง่ายๆ ว่ามันเป็นการปูนบำเหน็จให้เขานั่นแหละ เอ็ด วู๊ดเวิร์ด ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้บริหาร เนื่องจากมีความดีความชอบต่อเจ้าของทีม แต่หาใช่คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ไม่ต่างจากผู้อำนวยการฟุตบอลสักเท่าไหร่
เราจะเห็นการบริหารงานด้านฟุตบอลที่ต้องอุทานว่า "อะไรของมึง" มาตลอดตรงกันข้ามกับการหารายได้เข้าสโมสรที่ต้องบอกว่ายอดเยี่ยม อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ "ลอร์ดเอ๊ด" เข้ามาบริหารงาน - สโมสรฟุตบอลแห่งนี้ก็วอดวายเป็นพันล้านปอนด์แล้วนะครับกับการซื้อตัวผู้เล่นที่ส่วนใหญ่พุ่งชนความล้มเหลวไม่ต่างจากการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
ลองนึกถึงดาวเตะค่าตัวและค่าเหนื่อยแพงๆ ที่พี่แกเป็นคนซื้อมาแล้วดูสิว่ามีใคร "สอบผ่าน" บ้าง มารูยาน เฟลไลนี่ - ฆวน มาต้า - มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน - เมมฟิส เดอปาย - บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ - อังเคล ดิ มาเรีย, มัตเตโอ ดาร์เมี่ยน - มาร์กอส โรโฮ - ลุค ชอว์ - เอริก ไบยี่ - ราดาเมล ฟัลเกา - เฮนริค มคิทาร์ยาน - โรเมลู ลูกากู - เฟร็ด - อเล็กซิส ซานเชซ และโดยไม่เว้นแม้แต่ ปอล ป็อกบา ที่พูดได้ว่าเป็นการซื้อตัวที่ประสบความสำเร็จ
เรียนตามตรงว่ามันไม่ค่อยเมคเซ้นส์สักเท่าไหร่ เพราะการทำอะไรแบบนี้ คุณจะมั่งคั่งและร่ำรวยอย่างเดียวไม่พอนะครับ มันต้องแดกส์ขี้เป็นอาหารด้วย เหตุผลที่พอจะมีน้ำหนักเพียงเหตุผลเดียวที่มองเห็นคือลดค่าใช้จ่ายของตัวเองออกไปได้ประมาณสัปดาห์ละ 1 แสนปอนด์
เข้าใจว่า แมนฯ ยูไนเต็ด คงจะไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนและพิจารณาอย่างจงหนักแล้วประเมิณว่านักเปียโนเอกผู้นี้ไม่อยู่ในแผนการทำทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา - ฟอร์มการเล่นก็ตกต่ำอย่างไม่มีทีท่าว่าจะกลับชาติมาเกิดใหม่ แถมสภาพร่างกายก็ไม่สมบูรณ์จนถูกอาการบาดเจ็บบุกมารบกวนแบบเป็นระยะ
สรุปได้ว่า "หมดประโยชน์" นั่นแหละ และขืนอยู่ต่อไปก็คงไม่ได้ลงสนามแน่ๆ ในเมื่อไม่หลงเหลือคุณค่าห่าเหวอะไรแล้วสู้ปล่อยให้ทีมอื่นยืมโดยช่วยเขาจ่ายค่าจ้าง อย่างน้อยก็ช่วยแบ่งเบาภาระของตัวเองได้บ้าง แถมถ้าไม่ช่วยออกค่าเช่า เขาก็คงไม่ยืมตัวไปเล่นแน่ ว่าแล้ถือว่าดีกว่าจ่ายค่าเสียหายแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกสัปดาห์โดยที่เจ้าตัวเล่นชักเย่อกับหำตัวเองไปวันๆ
แล้วไอ้ค่าใช้จ่ายที่ลดลงไปประมาณ 1 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์เนี่ยก็สามารถเอาไปเพิ่มเป็นค่าเหนื่อย เพื่อล่อใจให้ ดาบิด เด เคอา ตัดสินใจยอมต่อสัญญาใหม่ดีกว่า นี่น่าจะเป็น "ข้อดี" ที่พอจะมองหาได้บ้างจากดีลนี้
นับตั้งแต่ เดวิด กิลล์ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าผู้บริหารระดับสูงไปพร้อมกับท่านพระยาหมื่นอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ดูเหมือนบอร์ดบริหารของสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะทำอะไรผิดจังหวะไปหมด
คนที่เข้ามาเสียบแทนตำแหน่งซีอีโออย่าง ฯพณฯ เอ็ด วู๊ดเวิร์ด มีปัญหาในเรื่องฟุตบอลอย่างชัดเจน เหตุเพราะคุณพี่เขาเป็นแค่อดีตนายธนาคารที่ไม่ได้ชื่นชอบหรือหลงไหลในเกมลูกหนังเป็นทุนเดิม
แล้วไอ้ที่สามารถเข้ามาดำรงค์ตำแหน่งหัวหน้าผู้บริหารระดับสูงควบตำแหน่งรองประธานสโมสรก็เพราะเป็นคนเดินเรื่อง - ติดต่อ - ประสานงาน และวิ่งเต้นให้ มัลคอล์ม เกลเซอร์ & แฟมิลี่ เข้ามาควบคุมกิจการสโมสรปีศาจแดงแบบเบ็ดเสร็จในปี 2005
พูดง่ายๆ ว่ามันเป็นการปูนบำเหน็จให้เขานั่นแหละ เอ็ด วู๊ดเวิร์ด ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้บริหาร เนื่องจากมีความดีความชอบต่อเจ้าของทีม แต่หาใช่คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ไม่ต่างจากผู้อำนวยการฟุตบอลสักเท่าไหร่
เราจะเห็นการบริหารงานด้านฟุตบอลที่ต้องอุทานว่า "อะไรของมึง" มาตลอดตรงกันข้ามกับการหารายได้เข้าสโมสรที่ต้องบอกว่ายอดเยี่ยม อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ "ลอร์ดเอ๊ด" เข้ามาบริหารงาน - สโมสรฟุตบอลแห่งนี้ก็วอดวายเป็นพันล้านปอนด์แล้วนะครับกับการซื้อตัวผู้เล่นที่ส่วนใหญ่พุ่งชนความล้มเหลวไม่ต่างจากการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
ลองนึกถึงดาวเตะค่าตัวและค่าเหนื่อยแพงๆ ที่พี่แกเป็นคนซื้อมาแล้วดูสิว่ามีใคร "สอบผ่าน" บ้าง มารูยาน เฟลไลนี่ - ฆวน มาต้า - มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน - เมมฟิส เดอปาย - บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ - อังเคล ดิ มาเรีย, มัตเตโอ ดาร์เมี่ยน - มาร์กอส โรโฮ - ลุค ชอว์ - เอริก ไบยี่ - ราดาเมล ฟัลเกา - เฮนริค มคิทาร์ยาน - โรเมลู ลูกากู - เฟร็ด - อเล็กซิส ซานเชซ และโดยไม่เว้นแม้แต่ ปอล ป็อกบา ที่พูดได้ว่าเป็นการซื้อตัวที่ประสบความสำเร็จ
ติดตามข่าวสารได้ที่ royalstoneind.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น