เหมือนเราหงุดหงิดเพื่อน

เราคงเคยมีความรู้สึกแบบนั้นกันนะครับ หงุดหงิดเพื่อนในเรื่องต่างๆ หงุดหงิดที่ถูกแย่งลูกชิ้นในชาม หงุดหงิดที่โดนหักคอจ่ายค่ารถ หงุดหงิดที่แอบเอาโทรศัพท์เราไปดู หงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ถูกใจตอนเล่นกีฬา หงุดหงิดเวลาที่มันไม่ยอมส่งให้ยิง..

ผมไม่ได้เข้าข้างฝ่ายไหน ไม่ได้ถือหางโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไม่ได้อยู่ฝ่ายซาดิโอ มาเน่ เหตุผลไม่ใช่เพราะรักพี่เสียดายน้องหรือตั้งใจว่าจะเป็นกลาง หากเพราะผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดที่จะทำให้ทั้งสองคนทะเลาะกันหรือแตกหักกันอะไรเลย

มันก็แค่อาการหงุดหงิดที่เกิดขึ้นเหมือนกับที่เราเคยเป็นนั่นแหละ เพียงแต่มันไม่มีกล้องโทรทัศน์ถ่ายทอดอาการหงุดหงิดของเราออกไปให้คนทั่วโลกได้รับชมเหมือนที่เราได้เห็นอาการของมาเน่

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ เรายังคงอยู่กับภาพความหงุดหงิดนั้น แล้วคิดทึกทักกันไปเองว่าแย่แล้ว ยุ่งแล้ว ลำบากแล้ว สปิริตทีมมีรอยร้าวแล้ว เอานิ้วปัดหน้าฝีดในเฟซบุ๊คเราเห็นแต่ใบหน้าบึ้งตึงของมาเน่ และภาพนิ่งจังหวะที่ซาลาห์ไม่ยอมส่งบอลให้ดาวเตะเซเนกัลในแบบที่ใครเห็นก็ว่าซาลาห์ผิด

ก็ผิดนั่นแหละครับ ในแง่ของฟุตบอลที่เล่นเป็นทีม จังหวะนั้นเขาก็ควรจะส่งให้มาเน่จริงๆ กระนั้นเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาบ้านเราประมาณตีหนึ่งเศษๆ เราเห็นภาพนั้นตอนเจ็ดโมงเช้า เก้าโมงเช้า ตอนเที่ยง ตอนบ่ายโมง บ่ายสอง สี่โมงเย็น หรือจะเวลาใดก็ตามนั่นหมายความว่าเหตุการณ์นั้นผ่านเลยไปนานแล้วตามแต่เวลาที่เราเห็น


แล้วเราจะยังยึดถือเอาภาพนิ่งที่เราได้เห็นเมื่อครึ่งวันก่อน สิบกว่าชั่วโมงก่อนมาตัดสินว่าแย่แล้ว สถานการณ์วุ่นวายแล้ว สปิริตกำลังจะพังพินาศแล้ว.. มันเป็นการกังวลโดยใช่เหตุเกินไปไหม

ลองย้อนกลับไปดูตัวเราเองก็ได้ครับกับคำถามต่างๆ ในตอนต้น ว่าเราโกรธเกลียดและตัดเพื่อนเลยไหมเมื่อไอ้เพื่อนคนนั้นทำให้เราหงุดหงิด แย่งลูกชิ้น แอบเอาโทรศัพท์ไปดู.. ไม่ส่งบอลให้ทั้งที่เราว่าง

ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตามปกติคือเราก็แค่ด่ามัน "ไอ้ห่าเต็ก ทำไมลูกนั้นมึงไม่ส่งให้กูวะ กูยืนโล่งๆ อยู่เนี่ย" แล้วสปิริตหรือความผูกพันฉันท์เพื่อนนั้นแตกกระจายไหม พังยับเยินหรือเปล่า มันก็ไม่ใช่

เราเอาภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเต็มวันอยู่แล้วมาดู แล้วตัดสินกันว่า "ทีมแย่แน่" "เห็นแก่ตัวเป็นบ้า" "อยากยิงเองจนตัวสั่น" มาเป็นความกังวล เห็นภาพแล้วก็ไม่สบายใจ

มันก็แน่ล่ะครับ เพราะภาพนิ่งที่เราได้เห็นมันถ่ายทอดอารมณ์ออกมาแบบนั้น แต่สิ่งที่เราลืมไปก็คือแม้มันจะถ่ายทอดอารมณ์แบบนั้น แต่มันไม่ได้หมายความว่าอารมณ์นั้นจะคงอยู่ตลอดไป..

เอาเข้าจริงเรื่องน่าหงุดหงิดนั้นมันคงจบลงตั้งแต่ในห้องแต่งตัวหลังจบเกมแล้ว จบลงไปตั้งแต่ตีหนึ่งกว่าตีสอง แต่เรากลับเอาภาพนั้นมาดูในตอนเช้า ตอนเที่ยง ตอนบ่ายแล้วจินตนาการเลยเถิดไปไกลจนเป็นความกังวลและหงุดหงิดกับซาลาห์ ทั้งๆ ที่ซาลาห์กับมาเน่อาจจะไปหาอะไรกินฉลองชัยชนะของทีม แยกย้ายกันกลับบ้าน และเข้านอนอย่างสบายอุรากันแล้ว

เพราะเราต้องลองคิดต่อไปว่าหลังจบเกมมาเน่กับซาลาห์จะคุยอะไรกันไหมในห้องแต่งตัว จะปรับความเข้าใจกันหรือเปล่า ซาลาห์อาจจะขอโทษมาเน่ทันทีเลยเป็นไปได้ไหม หรือคิดว่าคนที่ละเอียดทุกเม็ดอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ จะยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ

คนที่ละเอียดทุกหยดอย่างคล็อปป์ซึ่งปล่อย เซอร์ดาน ชากิรี่ ลงสนามเพราะรู้ว่าถ้ายังดร็อปไม่ให้ลงเล่นในเกมนี้ดาวเตะสวิสคงงุ่นง่านและอารมณ์ขุ่นมัวตลอดช่วงพักเบรกทีมชาติแน่ ผมเชื่อว่าการเปลี่ยนตัวเอาชากิรี่ลงสนามนั้นไม่ใช่ในเชิงแท็คติกแต่เป็นจิตวิทยาล้วนๆ เป็นการปลอบประโลมไม่ให้นักเตะคิดเลยเถิดจนเตลิดเกินไป มันประจวบเหมาะกับสถานการณ์ของเกมที่ทีมนำห่างพอดีด้วย

ติดตามข่าวสารได้ที่ quinnbrettler.com

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิบากกรรม 'เอบูเอ้'

เด็กหัวฟูกับผู้ใหญ่หน้าเครียด

เมื่อยูโร 2020 กลายเป็นยูโร 2021