ด้วยความเป็นคนไทย
กองหน้าอีกคนอย่าง ชินจิ โอกาซากิ ก็มีความขยัน อดทน มีวินัย และใฝ่คุณธรรม แม้เขาจะเป็นกองหน้าที่ยิงได้น้อยกว่ามาตรฐานของกองหน้าทั่วไป แต่ด้วยความทุ่มเทและวิ่งพล่านแบบเต็ม 80 ตีนถีบนี่แหละที่เป็นตัว "เปิดทาง" ให้กองหน้าอีกคนยิงกระจาย
อีกหนึ่งที่ เลสเตอร์ ซิตี้ แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปในสมรภูมิแข้งแห่งเดียวกันคือวิธีการบริหารทีมแบบ "เถ้าแก่" ด้วยเจ้าของทีมที่เป็นคนไทย (ถ้าตั้งใจทำอะไร ไม่แพ้ชาติใดในโลก)
ด้วยความเป็นคนไทยจึงมีวิธีการซื้อใจลูกทีมแตกต่างจากพวกฝรั่งอั้งม้อ คือลงไปคลุกคลีกับผู้เล่นและทีมงานจนก่อให้เกิดความผูกพันเป็นพิเศษ ดั่งที่เห็นในไทยลีกนี่แหละครับ ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไม "เจ้าของทีม" ถึงชอบลงไปรับโทรฟี่แชมป์ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น "บิ๊กฮั่น" ของ เชียงราย ยูไนเต็ด, "มาดามแป้ง" ของการท่าเรือ หรือ "นายกเกียร์" ของ พีที ประจวบฯ
เจอเจ้าของทีมแบบไทยๆ ที่ใจถึงใจแบบนี้เข้าไป นักเตะในทีมก็สู้ตายถวายหัวนะคะ สรุปว่าองค์ประกอบทุกอย่างของ เลสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลนั้นครบถ้วนกระบวนความ
เป้าหมายตอนแรกขอแค่อยู่รอดปลอดภัย เพราะฤดูกาลก่อนหน้าต้องกระเสือกกระสนและดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดแบบสุดฤทธิ์ ซึ่งมันกลายเป็นประสบการณ์ที่สามารถหยิบเอามาใช้รับในการแบกความกดดันตอนขับเคี่ยวแย่งแชมป์ได้เฉยเลย !!!
เพียงแต่มันใช้ได้ผลแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น เพราะการประสบความสำเร็จของทีมจิ้งจอกสยาม มันจะขาดองค์ประกอบข้อใดข้อหนึ่งไปไม่ได้เป็นอันขาด ทุกอย่างต้องมาครบถ้วนในคราวเดียวกันเท่านั้น
หลังจากพุ่งทะยานถึงจุดสูงสุดแล้วระเบิดบนท้องฟ้าก็ล่วงหล่นลงมาตามสัจธรรม เคลาดิโอ รานิเอรี่ ถูกปลดออกจากตำแหน่งในเวลาต่อมา เช่นเดียวกับผู้จัดการทีมคนถัดไปอย่าง เคร็ก เช็คสเปียร์ส์ ตามมาด้วย โคล็ด ปูแอล ก่อนจะมาถึงรายล่าสุดอย่าง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
กุญแจสำคัญอยู่ตรงนี้ "บี-ร็อดส์" หวนกลับมาในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ด้วยวิชาอาคมที่แก้กล้ามากยิ่งขึ้น มิหนำยังแก่พรรษามากขึ้น หลังถูกอัปเปหิออกจาก ลิเวอร์พูล แล้วไปบำเพ็ญเพียรภาวนา เพื่อเพิ่มบารมีกับ เซลติก ใน สก๊อตติช พรีเมียร์ลีก
เดิมทีพี่แกเป็นกุนซือสายเกมรุกดุดันอยู่แล้ว รูปแบบการเล่นสวยงาม และทันสมัยจน เลสเตอร์ ซิตี้ และนาทีนี้มีสไตล์การเล่นอันแตกต่างจากตอนที่ตัวเองอหังการถึงขั้นคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกพอสมควร
เพราะหลังจากเดินทางไปถึงดวงดาวก็เกิดอาการ "ทีมแตก" นักเตะตัวหลักหลายคนก็มีชาติตระกูลที่สูงขี้นแล้วแยกย้ายไปอยู่กับทีมที่มีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้นจน เลสเตอร์ จำเป็นต้องสร้างตัวเองใหม่ 3 ฤดูกาลนับตั้งแต่สถาปนาตัวเองเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกผ่านไป ส่วนผสมของพวกเขาเริ่มกลับมาลงตัวอีกครั้งในฤดูกาลนี้
ด้วยเกมรับที่กลับมาแข็งแกร่งขึ้น แม้จะสูญเสียผู้เล่นสำคัญอย่าง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ไปก็ตาม ขณะที่ตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับก็ใช้โมเดลเดิมเหมือนตอนที่มี เอ็นโกโล่ ก็องเต้ โดยตอนนี้ ออนยินเย เอ็นดีดี้ สวมบทมิดฟิลด์ตัวรับช่วยทำลายเกมแบ่งเบาภาระให้แผงหลัง
แดนกลางมีตัวเชื่อเกมอย่าง ยูริ เตเลมันส์ และมีผู้เล่นหมายเลข 10 ที่สร้างสรรค์เกมรุกอย่าง เจมส์ แมดดิสัน ขณะที่หัวหอกอย่าง เจมี่ วาร์ดี้ ก็กลับมาท็อปฟอร์มอีกครั้ง
ส่วนฟูลแบ็ค 2 ข้างทั้ง ริคาร์โด้ กับ เบน ชิลเวลล์ สามารถเติมเกมรุกได้ดุดันดีนักแล โดยเห็นจะเป็นรองก็แค่ฟูลแบ็คของ ลิเวอร์พูล เท่านั้น
องค์ประกอบอื่นๆ ก็ยอดเยี่ยมไปหมด ไม่ว่าจะเป็น ฮาวี่ย์บาร์นส์, อโยเซ่ เปเรซ หรือ ดามาราย เกรย์ จนกลายเป็นทีมที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าตอนที่คว้าแชมป์เสียด้วยซ้ำ ระบบการเล่นไม่ตายตัว โดยสามารถยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์
เลสเตอร์ ซิตี้ และนาทีนี้จึงเป็นทีมที่เล่นได้อย่างมีสไตล์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลนี้ พลพรรคจิ้งจอกสยามคงไม่อหังการถึงขนาดขึ้นมาเบียดแย่งแชมป์กับ ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ หรอกครับ แต่ก็มีดีพอที่จะทำอันดับติดท็อปโฟร์ เพื่อไปเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกหนชนิดที่ อาร์เซน่อล กับ แมนฯ ยูไนเต็ด รวมถึง สเปอร์ส อาจได้แต่มองตาปริบๆ
ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2015-16 จำได้ไหมครับว่าอัตราต่อรองที่ เลสเตอร์ จะทะลึ่งเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกกระฉูดถึง 5000-1 เพราะไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะคว้าแชมป์
ยกเว้นใครบางคน ณ ตอนนั้นมีกระทาชายนายหนึ่งชื่อ ลี เฮอร์เบิร์ต ประกอบอาชีพช่างไม้ เขาคือหนึ่งในไม่กี่คนที่เหมือนจะฟั่นเฟือนเดิมพันว่า เลสเตอร์ จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ
เขาแทงไป 4 ปอนด์แบบขำๆ ตีเป็นเงินไทยตอนนั้นก็ประมาณ 200 บาท ก่อนที่จะได้เงินกลับมาอย่างมหาศาลถึง 20,000 ปอนด์ หรือราวๆ 1 ล้านบาท
นับตั้งแต่นั้นไม่มีบ่อนพนันแบบถูกกฏหมายในอังกฤษหน้าไหนกล้าเปิดอัตราแชมป์สูงถึงขนาดนี้อีกต่อไป เพราะกลัวว่าความบรรลัยจะมาเยือน ราคาต่อรองของ เลสเตอร์ ซิตี้ ในการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้อยู่ที่อัจรา 300-1
รายงานข่าวกล่าวว่าพี่ลีคนเดิม แกวางเดิมพันว่าทีมรักของตัวเองจะทำสำเร็จอีกครั้ง แต่ไม่ได้บอกว่าคราวนี้ลงทุนไปเท่าไหร่ เหตุผลของเขาคือ...อะไรก็เกิดขึ้นได้
ติดตามข่าวสารได้ที่ mutexed.com
อีกหนึ่งที่ เลสเตอร์ ซิตี้ แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปในสมรภูมิแข้งแห่งเดียวกันคือวิธีการบริหารทีมแบบ "เถ้าแก่" ด้วยเจ้าของทีมที่เป็นคนไทย (ถ้าตั้งใจทำอะไร ไม่แพ้ชาติใดในโลก)
ด้วยความเป็นคนไทยจึงมีวิธีการซื้อใจลูกทีมแตกต่างจากพวกฝรั่งอั้งม้อ คือลงไปคลุกคลีกับผู้เล่นและทีมงานจนก่อให้เกิดความผูกพันเป็นพิเศษ ดั่งที่เห็นในไทยลีกนี่แหละครับ ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไม "เจ้าของทีม" ถึงชอบลงไปรับโทรฟี่แชมป์ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น "บิ๊กฮั่น" ของ เชียงราย ยูไนเต็ด, "มาดามแป้ง" ของการท่าเรือ หรือ "นายกเกียร์" ของ พีที ประจวบฯ
เจอเจ้าของทีมแบบไทยๆ ที่ใจถึงใจแบบนี้เข้าไป นักเตะในทีมก็สู้ตายถวายหัวนะคะ สรุปว่าองค์ประกอบทุกอย่างของ เลสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลนั้นครบถ้วนกระบวนความ
เป้าหมายตอนแรกขอแค่อยู่รอดปลอดภัย เพราะฤดูกาลก่อนหน้าต้องกระเสือกกระสนและดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดแบบสุดฤทธิ์ ซึ่งมันกลายเป็นประสบการณ์ที่สามารถหยิบเอามาใช้รับในการแบกความกดดันตอนขับเคี่ยวแย่งแชมป์ได้เฉยเลย !!!
เพียงแต่มันใช้ได้ผลแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น เพราะการประสบความสำเร็จของทีมจิ้งจอกสยาม มันจะขาดองค์ประกอบข้อใดข้อหนึ่งไปไม่ได้เป็นอันขาด ทุกอย่างต้องมาครบถ้วนในคราวเดียวกันเท่านั้น
หลังจากพุ่งทะยานถึงจุดสูงสุดแล้วระเบิดบนท้องฟ้าก็ล่วงหล่นลงมาตามสัจธรรม เคลาดิโอ รานิเอรี่ ถูกปลดออกจากตำแหน่งในเวลาต่อมา เช่นเดียวกับผู้จัดการทีมคนถัดไปอย่าง เคร็ก เช็คสเปียร์ส์ ตามมาด้วย โคล็ด ปูแอล ก่อนจะมาถึงรายล่าสุดอย่าง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
กุญแจสำคัญอยู่ตรงนี้ "บี-ร็อดส์" หวนกลับมาในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ด้วยวิชาอาคมที่แก้กล้ามากยิ่งขึ้น มิหนำยังแก่พรรษามากขึ้น หลังถูกอัปเปหิออกจาก ลิเวอร์พูล แล้วไปบำเพ็ญเพียรภาวนา เพื่อเพิ่มบารมีกับ เซลติก ใน สก๊อตติช พรีเมียร์ลีก
เดิมทีพี่แกเป็นกุนซือสายเกมรุกดุดันอยู่แล้ว รูปแบบการเล่นสวยงาม และทันสมัยจน เลสเตอร์ ซิตี้ และนาทีนี้มีสไตล์การเล่นอันแตกต่างจากตอนที่ตัวเองอหังการถึงขั้นคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกพอสมควร
เพราะหลังจากเดินทางไปถึงดวงดาวก็เกิดอาการ "ทีมแตก" นักเตะตัวหลักหลายคนก็มีชาติตระกูลที่สูงขี้นแล้วแยกย้ายไปอยู่กับทีมที่มีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้นจน เลสเตอร์ จำเป็นต้องสร้างตัวเองใหม่ 3 ฤดูกาลนับตั้งแต่สถาปนาตัวเองเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกผ่านไป ส่วนผสมของพวกเขาเริ่มกลับมาลงตัวอีกครั้งในฤดูกาลนี้
ด้วยเกมรับที่กลับมาแข็งแกร่งขึ้น แม้จะสูญเสียผู้เล่นสำคัญอย่าง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ไปก็ตาม ขณะที่ตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับก็ใช้โมเดลเดิมเหมือนตอนที่มี เอ็นโกโล่ ก็องเต้ โดยตอนนี้ ออนยินเย เอ็นดีดี้ สวมบทมิดฟิลด์ตัวรับช่วยทำลายเกมแบ่งเบาภาระให้แผงหลัง
แดนกลางมีตัวเชื่อเกมอย่าง ยูริ เตเลมันส์ และมีผู้เล่นหมายเลข 10 ที่สร้างสรรค์เกมรุกอย่าง เจมส์ แมดดิสัน ขณะที่หัวหอกอย่าง เจมี่ วาร์ดี้ ก็กลับมาท็อปฟอร์มอีกครั้ง
ส่วนฟูลแบ็ค 2 ข้างทั้ง ริคาร์โด้ กับ เบน ชิลเวลล์ สามารถเติมเกมรุกได้ดุดันดีนักแล โดยเห็นจะเป็นรองก็แค่ฟูลแบ็คของ ลิเวอร์พูล เท่านั้น
องค์ประกอบอื่นๆ ก็ยอดเยี่ยมไปหมด ไม่ว่าจะเป็น ฮาวี่ย์บาร์นส์, อโยเซ่ เปเรซ หรือ ดามาราย เกรย์ จนกลายเป็นทีมที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าตอนที่คว้าแชมป์เสียด้วยซ้ำ ระบบการเล่นไม่ตายตัว โดยสามารถยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์
เลสเตอร์ ซิตี้ และนาทีนี้จึงเป็นทีมที่เล่นได้อย่างมีสไตล์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลนี้ พลพรรคจิ้งจอกสยามคงไม่อหังการถึงขนาดขึ้นมาเบียดแย่งแชมป์กับ ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ หรอกครับ แต่ก็มีดีพอที่จะทำอันดับติดท็อปโฟร์ เพื่อไปเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกหนชนิดที่ อาร์เซน่อล กับ แมนฯ ยูไนเต็ด รวมถึง สเปอร์ส อาจได้แต่มองตาปริบๆ
ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2015-16 จำได้ไหมครับว่าอัตราต่อรองที่ เลสเตอร์ จะทะลึ่งเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกกระฉูดถึง 5000-1 เพราะไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะคว้าแชมป์
ยกเว้นใครบางคน ณ ตอนนั้นมีกระทาชายนายหนึ่งชื่อ ลี เฮอร์เบิร์ต ประกอบอาชีพช่างไม้ เขาคือหนึ่งในไม่กี่คนที่เหมือนจะฟั่นเฟือนเดิมพันว่า เลสเตอร์ จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ
เขาแทงไป 4 ปอนด์แบบขำๆ ตีเป็นเงินไทยตอนนั้นก็ประมาณ 200 บาท ก่อนที่จะได้เงินกลับมาอย่างมหาศาลถึง 20,000 ปอนด์ หรือราวๆ 1 ล้านบาท
นับตั้งแต่นั้นไม่มีบ่อนพนันแบบถูกกฏหมายในอังกฤษหน้าไหนกล้าเปิดอัตราแชมป์สูงถึงขนาดนี้อีกต่อไป เพราะกลัวว่าความบรรลัยจะมาเยือน ราคาต่อรองของ เลสเตอร์ ซิตี้ ในการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้อยู่ที่อัจรา 300-1
รายงานข่าวกล่าวว่าพี่ลีคนเดิม แกวางเดิมพันว่าทีมรักของตัวเองจะทำสำเร็จอีกครั้ง แต่ไม่ได้บอกว่าคราวนี้ลงทุนไปเท่าไหร่ เหตุผลของเขาคือ...อะไรก็เกิดขึ้นได้
ติดตามข่าวสารได้ที่ mutexed.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น