สงครามพรีเมียร์ลีกประจำสุดสัปดาห์
สงครามแข้งพรีเมียร์ลีกประจำสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องบอกว่าเฮี้ยนโคตรๆ โหดไม่ปรานีใคร เมื่อทีมที่เป็นเจ้าถิ่นเสียหลักพุ่งเข้าชนความพ่ายแพ้แบบ "คาบ้าน" ถึง 7 ทีมด้วยกันอันประกอบด้วย นอริช ซิตี้, ไบรท์ตัน, วัตฟอร์ด, แมนฯ ยูไนเต็ด, เชฟฯ ยูไนเต็ด, บอร์นมัธ และท็
ในการแข่งขันทั้งหมด 10 คู่ ปรากฏว่าทีมเจ้าบ้านประสบชัยชนะได้เพียงแค่ 2 ทีมเท่านั้นคือ แอสตัน วิลล่า กับ ลิเวอร์พูล ขณะที่ วูล์ฟส์ รอดพ้นจากความปราชัยในถิ่นตัวเองอย่างหวุดหวิดจากการได้จุดโทษในนาทีสุดท้ายของการทดเวลาบาดเจ็บ โดยในจำนวน 7 ทีมที่ "เด๊ดห่า" แบบคาบ้านนั้นมีทีมที่จัดอยู่ในประเภทพญายักษ์ 2 ทีมด้วยกัน คือ "ปีศาจแดง" กับ "ไก่เดือยทอง"
เจ้าของแชมป์หญ้าสวยถูก คริสตัล พาเลซ บุกมาเหยียบย่ำถึง โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในฟุตบอลลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1989 แถมเป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกอีกต่างหาก
ขณะที่ทีมน้องไก่ถูกตัวเต็งตกชั้นอย่าง "สาลิกาดง" นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด บุกมาเชือดคอหอย ซึ่งในความปราชัยของ แมนฯ ยูไนเต็ด กับ สเปอร์ส นั้นมีอะไรเหมือนกันอยู่อย่างคือทั้งคู่เจอกับกลยุทธ์แบบ "พาร์ค เดอะ บัส" จากทีมเยือนแล้วถูกแท็คติกนี้เล่นงานจนเอาตัวไม่รอด
คริสตัล พาเลซ บุกมาเยือนโรงละครแห่งความฝันด้วยฟอร์มการเล่นเป็นรอง - ศักยภาพผู้เล่นก็เป็นรอง อีกทั้งยังเสียเปรียบเสียงเชียร์อีกต่างหาก จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ รอย ฮ็อดจ์สัน จะนำวิธีการเล่นแบบ "รถบัส" มาติดตั้งให้กับลูกทีม
คำว่า "รถบัส" เป็นศัพท์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในวงการลูกหนังได้ไม่นาน ผู้ที่นำคำนี้มาใช้เป็นคนแรกคือ โชเซ่ มูรินโญ่ สมัยที่เป็นกุนซือของ เชลซี (รอบแรก) เฮียแกบ้วนคำนี้ออกมาในการให้ปากคำนักข่าว หลังจากลูกทีมตัวเองทำได้แค่เสมอกับ สเปอร์ส 0-0 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์
ทว่าตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญการใช้แท็คติกแบบนี้เวลาเจอทีมที่เหนือกว่าจนถูกล้อเลียนว่าเป็น "เจ้าพ่อรถบัส" ซึ่งก็คือการอุดประตูแบบโคตรมหาอุด ประหนึ่งเช่ารถบัสมาจอดขวางหน้าปากประตู
คริสตัล พาเลซ ถอยลงไปตั้งรับลึก เพื่อบีบพื้นที่ทั้งหน้ากรอบเขตโทษและในกรอบเขตโทษของตัวเองให้แน่นหนามากที่สุด แล้วพยายามหาจังหวะสวนกลับโดยใช้ปีก 2 ข้างที่มีความเร็วและคล่องอย่าง วิลฟรีค ซาฮา กับ เจฟฟรี่ย์ ชลุป รวมถึงกองหน้าอย่าง จอร์แดน อายิว
ขอบอกว่ามันเป็นวิธีการเล่นที่ไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อนทรยศอะไรเลยนะครับ ปัญหาคือแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ครองบอลบุกอยู่ฝ่ายเดียว แถมหาจังหวะจบด้วยการยิงกระหน่ำได้มากมายดันไม่มีความเฉียบคมและเด็ดขาดเพียงพอ
ไอ้ที่ไม่เฉียบขาดพอส่วนหนึ่งเพราะคุณภาพของผู้เล่นที่ชื่อเสียงโด่งดังเกินฝีเท้านั่นเอง ยกตัวอย่าง เจสซี่ ลินการ์ด เป็นต้น ขณะที่อีกจุดหนึ่งเป็นเพราะผู้มาเยือนถอยลงไปปิดพื้นที่ได้อย่างแน่นหนา หากความสามารถเฉพาะตัวต่ำ ไม่มีทีมเวิร์ค และไม่มีไอเดียในการเล่นเกมรุกที่หลากหลายเพียงพอ มันก็จะประสบปัญหาอย่างที่เกิดขึ้น
หลักฐานยืนยันคือจำนวนการยิงที่ตรงกรอบเพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้นนั่นแหละ นอกจากจะไม่มีทีเด็ดจากการเล่นแบบ "โอเพ่นเพลย์" พลพรรคปีศาจแดงยังไม่มีทีเด็ดจากลูกตั้งเตะทุกประเภทอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเตะมุมหรือฟรีคิก พวกเขาเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ไม่ได้เลย โดยเฉพาะฟรีคิกที่อุตส่าห์ได้ระยะหวังผลถึง 3 ครั้ง ยิงหลุดออกนอกกรอบและข้ามคานมันทั้ง 3 ครั้ง
ในการแข่งขันทั้งหมด 10 คู่ ปรากฏว่าทีมเจ้าบ้านประสบชัยชนะได้เพียงแค่ 2 ทีมเท่านั้นคือ แอสตัน วิลล่า กับ ลิเวอร์พูล ขณะที่ วูล์ฟส์ รอดพ้นจากความปราชัยในถิ่นตัวเองอย่างหวุดหวิดจากการได้จุดโทษในนาทีสุดท้ายของการทดเวลาบาดเจ็บ โดยในจำนวน 7 ทีมที่ "เด๊ดห่า" แบบคาบ้านนั้นมีทีมที่จัดอยู่ในประเภทพญายักษ์ 2 ทีมด้วยกัน คือ "ปีศาจแดง" กับ "ไก่เดือยทอง"
เจ้าของแชมป์หญ้าสวยถูก คริสตัล พาเลซ บุกมาเหยียบย่ำถึง โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในฟุตบอลลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1989 แถมเป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกอีกต่างหาก
ขณะที่ทีมน้องไก่ถูกตัวเต็งตกชั้นอย่าง "สาลิกาดง" นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด บุกมาเชือดคอหอย ซึ่งในความปราชัยของ แมนฯ ยูไนเต็ด กับ สเปอร์ส นั้นมีอะไรเหมือนกันอยู่อย่างคือทั้งคู่เจอกับกลยุทธ์แบบ "พาร์ค เดอะ บัส" จากทีมเยือนแล้วถูกแท็คติกนี้เล่นงานจนเอาตัวไม่รอด
คริสตัล พาเลซ บุกมาเยือนโรงละครแห่งความฝันด้วยฟอร์มการเล่นเป็นรอง - ศักยภาพผู้เล่นก็เป็นรอง อีกทั้งยังเสียเปรียบเสียงเชียร์อีกต่างหาก จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ รอย ฮ็อดจ์สัน จะนำวิธีการเล่นแบบ "รถบัส" มาติดตั้งให้กับลูกทีม
คำว่า "รถบัส" เป็นศัพท์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในวงการลูกหนังได้ไม่นาน ผู้ที่นำคำนี้มาใช้เป็นคนแรกคือ โชเซ่ มูรินโญ่ สมัยที่เป็นกุนซือของ เชลซี (รอบแรก) เฮียแกบ้วนคำนี้ออกมาในการให้ปากคำนักข่าว หลังจากลูกทีมตัวเองทำได้แค่เสมอกับ สเปอร์ส 0-0 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์
ทว่าตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญการใช้แท็คติกแบบนี้เวลาเจอทีมที่เหนือกว่าจนถูกล้อเลียนว่าเป็น "เจ้าพ่อรถบัส" ซึ่งก็คือการอุดประตูแบบโคตรมหาอุด ประหนึ่งเช่ารถบัสมาจอดขวางหน้าปากประตู
คริสตัล พาเลซ ถอยลงไปตั้งรับลึก เพื่อบีบพื้นที่ทั้งหน้ากรอบเขตโทษและในกรอบเขตโทษของตัวเองให้แน่นหนามากที่สุด แล้วพยายามหาจังหวะสวนกลับโดยใช้ปีก 2 ข้างที่มีความเร็วและคล่องอย่าง วิลฟรีค ซาฮา กับ เจฟฟรี่ย์ ชลุป รวมถึงกองหน้าอย่าง จอร์แดน อายิว
ขอบอกว่ามันเป็นวิธีการเล่นที่ไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อนทรยศอะไรเลยนะครับ ปัญหาคือแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ครองบอลบุกอยู่ฝ่ายเดียว แถมหาจังหวะจบด้วยการยิงกระหน่ำได้มากมายดันไม่มีความเฉียบคมและเด็ดขาดเพียงพอ
ไอ้ที่ไม่เฉียบขาดพอส่วนหนึ่งเพราะคุณภาพของผู้เล่นที่ชื่อเสียงโด่งดังเกินฝีเท้านั่นเอง ยกตัวอย่าง เจสซี่ ลินการ์ด เป็นต้น ขณะที่อีกจุดหนึ่งเป็นเพราะผู้มาเยือนถอยลงไปปิดพื้นที่ได้อย่างแน่นหนา หากความสามารถเฉพาะตัวต่ำ ไม่มีทีมเวิร์ค และไม่มีไอเดียในการเล่นเกมรุกที่หลากหลายเพียงพอ มันก็จะประสบปัญหาอย่างที่เกิดขึ้น
หลักฐานยืนยันคือจำนวนการยิงที่ตรงกรอบเพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้นนั่นแหละ นอกจากจะไม่มีทีเด็ดจากการเล่นแบบ "โอเพ่นเพลย์" พลพรรคปีศาจแดงยังไม่มีทีเด็ดจากลูกตั้งเตะทุกประเภทอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเตะมุมหรือฟรีคิก พวกเขาเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ไม่ได้เลย โดยเฉพาะฟรีคิกที่อุตส่าห์ได้ระยะหวังผลถึง 3 ครั้ง ยิงหลุดออกนอกกรอบและข้ามคานมันทั้ง 3 ครั้ง
ติดตามข่าวสารได้ที่ sirreyeh.org
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น