ห้วงเวลาที่บอบช้ำ
เป็นอีกห้วงเวลาที่บอบช้ำของแฟนลูกหนังไทย ที่กล้าพูดได้เลยว่าทัพ "ช้างศึก" ทีมชาติไทย อยู่ในช่วงขาลงตลอดปีสองปีที่ผ่านมา และทีมที่ก้าวข้ามเราขึ้นไปก็คงหนีไม่พ้นคู่ปรับตลอดกาลอย่างแข้งสกุลเหงียน ทีมชาติเวียดนาม นั่นเอง
การพ่ายแพ้บนแผ่นดินไทยในศึกคิงส์คัพ 2019 เมื่อวันพุธที่ 5 มิ.ย.62 ที่ผ่านมา ต่อเวียดนาม 0-1 มันตอกย้ำให้เห็นแล้วว่า เวียดนามชุดนี้เขาก้าวขึ้นไปอยู่สูงกว่าเราในย่านอาเซียนเป็นที่เรียบร้อย
จากการคว้าแชมป์ "เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018" พัฒนาต่อยอดเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในศึก "เอเชียนคัพ 2019" ที่ยูเออี เป็นประวัติศาสตร์ลูกหนังเวียดนามอีกด้วย
ที่สำคัญต้องยกเครดิตให้กับ "พาร์ค ฮัง-ซอ" กุนซือเลือดโสมขาว ที่เข้ามายกระดับทีมชาติเวียดนาม ทุกชุดให้เป็นทีมที่แกร่ง ! ย้ำนะครับว่าทุกชุด แถมการกุมบังเหียนแข้งดาวทอง ยามที่ลงเล่นกับแข้งช้างศึก ยังเอาชนะรวดร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้ง 3 นัดหลังสุด
วันที่ 15 ธ.ค.62 "ยู-23 ปี เอ็ม-150 คัพ 2017" ชนะ ไทย 2-1 , วันที่ 26 มี.ค.62 "เอเอฟซี ยู-23 แชมเปี้ยส์ชิพ 2020 รอบคัดเลือก" ชนะ ไทย 4-0 , วันที่ 5 มิ.ย.62 "คิงส์คัพ 2019" ชนะ ไทย 1-0
บางท่านอาจจะบอกว่าสถิติที่ลงฟาดแข้งกัน ไทยยังเหนือกว่าอยู่ดี เพราะเจอกันรวม 22 นัด ไทย ชนะ 15 เสมอ 4 และแพ้แค่ 3 นัด ทว่าหากคุณยังยึดติดกับอดีต ลืมมองโลกความเป็นจริงบนโลกปัจจุบัน คุณก็จะยึดกับสิ่งนี้อยู่ร่ำไปเช่นเดิม
ความจริงก็คือความจริงครับ และหลังเสร็จศึกคิงส์คัพ 2019 จะมีการจัดอันดับโลกเดือนมิถุนายน แน่นอนปัจจุบันเวียดนาม 98 ของโลก ส่วนไทย 114 ของโลก อย่าลืมว่าเดือนหน้าจะมีการจับสลากฟุตบอลโลก 2022 โซนเอเชีย รอบคัดเลือก รอบสอง นั่นทำให้ไทยอาจจะอยู่ในโถ 3 เกือบร้อยเปอร์เซนต์ และมันยิ่งยากทวีคูณที่จะผ่านเข้าไปเล่นรอบ 12 ทีมสุดท้ายโซนเอเชีย
อาจเป็นช่วงที่ความรู้สึกของทุกท่านดิ่งลงไปในทะเลจริงๆ จากผลงานสุดติ่งในยุคของ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ตลอดปี 2013-2017 ที่บอกเลยว่ามันคือยุคทองของทีมชาติไทย ที่หลายทีมในอาเซียนต่างเกรงกลัว
แต่หลังจากปี 2017 มาจนถึงวันนี้ มันกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ แทบไม่มีชาติใดเกรงกลัวยามลงฟาดแข้งกับเหล่าแข้งช้างศึกด้วยอีกต่อไป จับพลัดจับผลูแข้งสกุลเหงียนเขาอาจมองข้ามเราไปตั้งนานแล้วก็เป็นได้ แต่เราไม่รู้สึกเอง
จากนี้ไปเราต้องลองมองย้อนดูตัวเราเองว่ามีอะไรที่บกพร่อง ผิดพลาด เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ทำไม เวียดนามเขาพัฒนาต่อเนื่องแทบทุกชุด และพร้อมบู๊ล้างพลาญคู่แข่งทุกทีมที่เขาเจอชนิดไม่เคยยำเกรง นี่แหละนะที่เขาเรียกว่า "อนิจจัง" ความไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่มั่นคง ไม่แน่นอน !
เหมือนแต่ก่อน เวียดนามเขาคือผู้ท้าชิงเรา เขาอยากชนะเรา เขาเลยต้องพัฒนาให้แข็งแกร่ง แต่มา ณ บัดนี้เราต่างหากที่จะไปเป็นผู้ท้าชิงเวียดนาม เพราะต่อจากนี้ไป เราคือ "นัมเบอร์ทู" ของลูกหนังทวีปอาเซียน
การพ่ายแพ้บนแผ่นดินไทยในศึกคิงส์คัพ 2019 เมื่อวันพุธที่ 5 มิ.ย.62 ที่ผ่านมา ต่อเวียดนาม 0-1 มันตอกย้ำให้เห็นแล้วว่า เวียดนามชุดนี้เขาก้าวขึ้นไปอยู่สูงกว่าเราในย่านอาเซียนเป็นที่เรียบร้อย
จากการคว้าแชมป์ "เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018" พัฒนาต่อยอดเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในศึก "เอเชียนคัพ 2019" ที่ยูเออี เป็นประวัติศาสตร์ลูกหนังเวียดนามอีกด้วย
ที่สำคัญต้องยกเครดิตให้กับ "พาร์ค ฮัง-ซอ" กุนซือเลือดโสมขาว ที่เข้ามายกระดับทีมชาติเวียดนาม ทุกชุดให้เป็นทีมที่แกร่ง ! ย้ำนะครับว่าทุกชุด แถมการกุมบังเหียนแข้งดาวทอง ยามที่ลงเล่นกับแข้งช้างศึก ยังเอาชนะรวดร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้ง 3 นัดหลังสุด
วันที่ 15 ธ.ค.62 "ยู-23 ปี เอ็ม-150 คัพ 2017" ชนะ ไทย 2-1 , วันที่ 26 มี.ค.62 "เอเอฟซี ยู-23 แชมเปี้ยส์ชิพ 2020 รอบคัดเลือก" ชนะ ไทย 4-0 , วันที่ 5 มิ.ย.62 "คิงส์คัพ 2019" ชนะ ไทย 1-0
บางท่านอาจจะบอกว่าสถิติที่ลงฟาดแข้งกัน ไทยยังเหนือกว่าอยู่ดี เพราะเจอกันรวม 22 นัด ไทย ชนะ 15 เสมอ 4 และแพ้แค่ 3 นัด ทว่าหากคุณยังยึดติดกับอดีต ลืมมองโลกความเป็นจริงบนโลกปัจจุบัน คุณก็จะยึดกับสิ่งนี้อยู่ร่ำไปเช่นเดิม
ความจริงก็คือความจริงครับ และหลังเสร็จศึกคิงส์คัพ 2019 จะมีการจัดอันดับโลกเดือนมิถุนายน แน่นอนปัจจุบันเวียดนาม 98 ของโลก ส่วนไทย 114 ของโลก อย่าลืมว่าเดือนหน้าจะมีการจับสลากฟุตบอลโลก 2022 โซนเอเชีย รอบคัดเลือก รอบสอง นั่นทำให้ไทยอาจจะอยู่ในโถ 3 เกือบร้อยเปอร์เซนต์ และมันยิ่งยากทวีคูณที่จะผ่านเข้าไปเล่นรอบ 12 ทีมสุดท้ายโซนเอเชีย
อาจเป็นช่วงที่ความรู้สึกของทุกท่านดิ่งลงไปในทะเลจริงๆ จากผลงานสุดติ่งในยุคของ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ตลอดปี 2013-2017 ที่บอกเลยว่ามันคือยุคทองของทีมชาติไทย ที่หลายทีมในอาเซียนต่างเกรงกลัว
แต่หลังจากปี 2017 มาจนถึงวันนี้ มันกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ แทบไม่มีชาติใดเกรงกลัวยามลงฟาดแข้งกับเหล่าแข้งช้างศึกด้วยอีกต่อไป จับพลัดจับผลูแข้งสกุลเหงียนเขาอาจมองข้ามเราไปตั้งนานแล้วก็เป็นได้ แต่เราไม่รู้สึกเอง
จากนี้ไปเราต้องลองมองย้อนดูตัวเราเองว่ามีอะไรที่บกพร่อง ผิดพลาด เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ทำไม เวียดนามเขาพัฒนาต่อเนื่องแทบทุกชุด และพร้อมบู๊ล้างพลาญคู่แข่งทุกทีมที่เขาเจอชนิดไม่เคยยำเกรง นี่แหละนะที่เขาเรียกว่า "อนิจจัง" ความไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่มั่นคง ไม่แน่นอน !
เหมือนแต่ก่อน เวียดนามเขาคือผู้ท้าชิงเรา เขาอยากชนะเรา เขาเลยต้องพัฒนาให้แข็งแกร่ง แต่มา ณ บัดนี้เราต่างหากที่จะไปเป็นผู้ท้าชิงเวียดนาม เพราะต่อจากนี้ไป เราคือ "นัมเบอร์ทู" ของลูกหนังทวีปอาเซียน
ติดตามข่าวสารได้ที่ prosource-it.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น