มีความสนใจเล็กน้อย
พูดด้วยความภูมิใจ "มีทีมให้ที่ใหญ่กว่าลิเวอร์พูล?" ยังมีข้อถกเถียงว่า เรอัล มาดริด, แมนฯยูไนเต็ด และ บาร์เซโลน่า ใครมีขนาดใหญ่ระดับโลกมากกว่ากัน เรื่องนอกสนาม
พวกเขายังคงทำงานเพื่อให้ตรงกับการที่จะเป็นเบอร์ต้นๆในตารางดีลอยท์(บ.จัดอันดับการเงิน) แฟนบอลลิเวอร์พูลมีความสนใจเล็กน้อยในเรื่องการต่อสู้เรื่องตราสินค้าที่ผู้บริหารพยายามทำ ซึ่งมันมีความสำคัญมาก
เป็นที่ยอมรับว่าหลังจากปี 2005 ลิเวอร์พูลไม่สามารถรุกคืบเข้าสู่ความยิ่งใหญ่ได้เลย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้สโมสรต้องหาเจ้าของใหม่เข้ามา โครงสร้างพื้นฐานของทีมไม่ได้รองรับความสำเร็จในบอลยุโรป นับจากนั้นก็มีความก้าวหน้าอย่างมาก
และมีอีเมลสำหรับผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องไว้ดีลกับบรรดาสปอนเซอร์มีแนวโน้มจะเติบโตไม่กี่เดือนข้างหน้า สำหรับคนที่มีหน้าที่หาเงินจากการใช้ชื่อ ลิเวอร์พูล ไปทำธุรกิจนั้น พวกเขาก็ย่อมจะต้องเจอกับความกดดันอย่างเต็มที่ การกลับมาได้แชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 มันก็เป็นความเป็นปได้แบบไร้ขีดจำกัด รายได้เหล่านั้นจะดึงขึ้นทุกจุดเหนือขึ้นไป
แต่มันยังมีประเด็นสำคัญอีก 1 อย่าง และเป็นประเด็นที่ ลิเวอร์พูล เจอปัญหาในการจัดการกับมัน นั่นคือพวกเขาคือสโมสรที่ไม่ควรใช้คำว่า "บริษัท" ครอบครัว เวลาพูดเรื่องทำสัญญาด้านสปอนเซอร์และการประกาศสมาชิกใหม่มากที่สุดในโลก
ในฐานะสโมสรแล้วนั้น ลิเวอร์พูล ไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์คำแบบนี้ขึ้นมาเลย มันจะไม่มีทางเข้ากับฐานแฟนบอลของพวกเขาได้ แถมมันยังขัดกับฝั่งทีมฟุตบอลที่ลงเล่นในสนามซึ่งเป็นฝั่งที่เข้ากับคนที่มีหัวใจและจิตวิญญาณอยู่ที่ แอนฟิลด์ ด้วย มันเป็นความเชื่อแปลกๆ
ที่มาพร้อมกับความเข้าใจผิดที่ว่าคนที่มีความรู้ด้านการสร้างแบรนด์คือคนที่รู้วิธีนำเสนอภาพลักษณ์ของ ลิเวอร์พูล ให้ดีที่สุด ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ลิเวอร์พูล ควรจะมีความมั่นใจในตัวเองในการรับประกันว่าคนที่เข้าใจลักษณะพื้นฐานของสโมสรอย่างแท้จริงจะได้อยู่ในตำแหน่งที่มีหน้าที่ตัดสินใจว่าควรจะนำเสนอสโมสรในรูปแบบไหน
ในโลกของเรอัล มาดริด และ แมนฯซิตี้ มันเป็นไปได้ยากที่ลิเวอร์พูลจะเป็นใหญ่ หรือร่ำรวยที่สุด แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นสิ่งที่แฟนๆภูมิใจที่สุด พวกเขาได้เดินไปในทางที่ถูกต้องมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งมันจะเป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2019 มาครองได้
พวกเขายังคงทำงานเพื่อให้ตรงกับการที่จะเป็นเบอร์ต้นๆในตารางดีลอยท์(บ.จัดอันดับการเงิน) แฟนบอลลิเวอร์พูลมีความสนใจเล็กน้อยในเรื่องการต่อสู้เรื่องตราสินค้าที่ผู้บริหารพยายามทำ ซึ่งมันมีความสำคัญมาก
เป็นที่ยอมรับว่าหลังจากปี 2005 ลิเวอร์พูลไม่สามารถรุกคืบเข้าสู่ความยิ่งใหญ่ได้เลย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้สโมสรต้องหาเจ้าของใหม่เข้ามา โครงสร้างพื้นฐานของทีมไม่ได้รองรับความสำเร็จในบอลยุโรป นับจากนั้นก็มีความก้าวหน้าอย่างมาก
และมีอีเมลสำหรับผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องไว้ดีลกับบรรดาสปอนเซอร์มีแนวโน้มจะเติบโตไม่กี่เดือนข้างหน้า สำหรับคนที่มีหน้าที่หาเงินจากการใช้ชื่อ ลิเวอร์พูล ไปทำธุรกิจนั้น พวกเขาก็ย่อมจะต้องเจอกับความกดดันอย่างเต็มที่ การกลับมาได้แชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 มันก็เป็นความเป็นปได้แบบไร้ขีดจำกัด รายได้เหล่านั้นจะดึงขึ้นทุกจุดเหนือขึ้นไป
แต่มันยังมีประเด็นสำคัญอีก 1 อย่าง และเป็นประเด็นที่ ลิเวอร์พูล เจอปัญหาในการจัดการกับมัน นั่นคือพวกเขาคือสโมสรที่ไม่ควรใช้คำว่า "บริษัท" ครอบครัว เวลาพูดเรื่องทำสัญญาด้านสปอนเซอร์และการประกาศสมาชิกใหม่มากที่สุดในโลก
ในฐานะสโมสรแล้วนั้น ลิเวอร์พูล ไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์คำแบบนี้ขึ้นมาเลย มันจะไม่มีทางเข้ากับฐานแฟนบอลของพวกเขาได้ แถมมันยังขัดกับฝั่งทีมฟุตบอลที่ลงเล่นในสนามซึ่งเป็นฝั่งที่เข้ากับคนที่มีหัวใจและจิตวิญญาณอยู่ที่ แอนฟิลด์ ด้วย มันเป็นความเชื่อแปลกๆ
ที่มาพร้อมกับความเข้าใจผิดที่ว่าคนที่มีความรู้ด้านการสร้างแบรนด์คือคนที่รู้วิธีนำเสนอภาพลักษณ์ของ ลิเวอร์พูล ให้ดีที่สุด ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ลิเวอร์พูล ควรจะมีความมั่นใจในตัวเองในการรับประกันว่าคนที่เข้าใจลักษณะพื้นฐานของสโมสรอย่างแท้จริงจะได้อยู่ในตำแหน่งที่มีหน้าที่ตัดสินใจว่าควรจะนำเสนอสโมสรในรูปแบบไหน
ในโลกของเรอัล มาดริด และ แมนฯซิตี้ มันเป็นไปได้ยากที่ลิเวอร์พูลจะเป็นใหญ่ หรือร่ำรวยที่สุด แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นสิ่งที่แฟนๆภูมิใจที่สุด พวกเขาได้เดินไปในทางที่ถูกต้องมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งมันจะเป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2019 มาครองได้
ติดตามข่าวสารได้ที่ riarestaurantchicago.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น