ความสำเร็จที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่
ซึ่งโอเว่นนั้น คืออดีตนักเตะระดับ Balon d’Or ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วหลายรายการที่Liverpool กับ Real Madrid ความสำเร็จที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่ระดับนี้ของเฮียเว่นอาจจะมีบารมีพอที่จะใส่เสื้อตัวนี้ต่อจากโรนัลโด้ก็ได้
การลงสนามในนามของนักเตะแมนยูไนเต็ดของโอเว่นนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะมีแต่อาการบาดเจ็บเสียเป็นส่วนมาก หรือไม่งั้นก็ไม่ค่อยได้ลงตัวจริงเท่าไหร่ แต่โอเว่นก็จารึกชื่อตัวเองเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของยูไนเต็ดเรียบร้อยแล้วด้วยประตูชัยระดับAnticlimax ที่แฟนผีกำลังจะเงิบเพราะโดนท่าไม้ตายย้อนศรของเฟอร์กี้ไทม์ กลายเป็น สปาร์กี้ไทม์ที่หนูถีบจักรอย่าง เคร้ก เบลลามี่ ยิงตีเสมอให้ซิตี้มาเป็น3-3ในนาที90
แต่เมื่อกรรมการที่ยังไม่เป่าหมดเวลา ปีศาจแดงในยุคป๋าก็ไม่เคยถอนคันเร่งแม้แต่ครั้งเดียว สุดท้ายแล้วก็เป็นเฮียเว่นนี่แหละที่จิ้มประตูขยี้เพื่อนบ้านน่ารำคาญไปในนาทีสุดท้ายที่เกินทดเวลามาอีก1นาที ชนะไปอย่างสุดมันส์ที่สุด น่าจะเป็นดาร์บี้แมตช์ที่มันที่สุดในประวัติศาสตร์แล้วด้วยมั้งนัดนี้
ซึ่งนอกจากโอเว่นจะกลายเป็นตำนานประตูทดเจ็บซ้อนทดเจ็บเหนือซิตี้แล้วนั้น เขายังกลายเป็นอีกหนึ่งนักฟุตบอลที่รู้น้ำหนักถ้วยพรีเมียร์ลีกในปี 2011 คว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จในชีวิตค้าแข้งในที่สุด แถมด้วยแฮททริกหรูๆในแชมเปี้ยนส์ลีกประดับบารมีไปอีกหนึ่งสถิติอีกด้วย
ถึงโอเว่นจะประสบความสำเร็จเพียงแค่ไม่มากกับสโมสรเรา แต่ถ้าหากเทียบกันกับรายอื่นๆนั้น เอาจริงๆแล้วพี่เว่นถือว่าเป็นเบอร์7ที่ดีที่สุดนับหลังจากคริสเตียโน่ โรนัลโด้เลยทีเดียว ซึ่งมันก็จริงเพราะว่า นักเตะคนอื่นๆหลังจากนั้นไม่มีใครที่จะเข้าใกล้กับโรนัลโด้ได้เลย (หรือแม้กระทั่งโอเว่นเองก็ตาม) เพราะเบอร์นี้มันหนักหนาเกินไป
สำหรับนักเตะอย่าง อันโตนิโอ วาเลนเซีย และรวมถึงเมมฟิส, แน่นอน ไอ้งูพิษที่มาลงเล่นแล้วก็ล้มเหลว แถมทรยศสโมสรและหิวเงินอย่างอังเคล ดิมาเรีย ก็แทบจะถูกแฟนผีลืมไปจากสารบบเหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่อีกด้วย
ทางด้านอเล็กซิส ซานเชสเอง ก็เป็นอีกหนึ่งนักเตะโปรไฟล์สุดหรูที่ได้ใส่เบอร์นี้เช่นกัน แต่ว่าไม่สามารถงัดเอาศักยภาพมาใช้ได้คู่ควรกับการใส่เสื้อตัวนี้เลย .. เสื้อหมายเลข7ในขณะนี้จึงถูกเก็บอยู่อย่างเงียบๆในล็อคเกอร์ของโอลด์แทรฟฟอร์ด และเฝ้ารอคอยให้เจ้าของคนต่อไปจะมาสวมใส่มัน ซึ่งหากมีใครคนนั้นปรากฏตัว เขาจะต้องรับมือกับแรงกดดันมหาศาลก่อนที่จะทันได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
ตัดกลับมาที่คาร์ริค หลังจากที่เขาไม่ได้ใส่เสื้อเบอร์7(ซึ่งก็ดีแล้ว) การประสบความสำเร็จของเขา12ปีนับตั้งแต่2006ที่ย้ายมาอยู่กับสโมสรนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่จุดสิ้นสุดเพียงเท่านั้น เพราะนักเตะระดับท็อปผู้ซึ่งunderratedสุดๆรายนี้นั้นจะยังคงมอบ"มรดกสู่อนาคต" ของเขาให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต่ออีกในระยะยาวด้วยบทบาทหน้าที่ของการเป็นโค้ช
การลงสนามในนามของนักเตะแมนยูไนเต็ดของโอเว่นนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะมีแต่อาการบาดเจ็บเสียเป็นส่วนมาก หรือไม่งั้นก็ไม่ค่อยได้ลงตัวจริงเท่าไหร่ แต่โอเว่นก็จารึกชื่อตัวเองเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของยูไนเต็ดเรียบร้อยแล้วด้วยประตูชัยระดับAnticlimax ที่แฟนผีกำลังจะเงิบเพราะโดนท่าไม้ตายย้อนศรของเฟอร์กี้ไทม์ กลายเป็น สปาร์กี้ไทม์ที่หนูถีบจักรอย่าง เคร้ก เบลลามี่ ยิงตีเสมอให้ซิตี้มาเป็น3-3ในนาที90
แต่เมื่อกรรมการที่ยังไม่เป่าหมดเวลา ปีศาจแดงในยุคป๋าก็ไม่เคยถอนคันเร่งแม้แต่ครั้งเดียว สุดท้ายแล้วก็เป็นเฮียเว่นนี่แหละที่จิ้มประตูขยี้เพื่อนบ้านน่ารำคาญไปในนาทีสุดท้ายที่เกินทดเวลามาอีก1นาที ชนะไปอย่างสุดมันส์ที่สุด น่าจะเป็นดาร์บี้แมตช์ที่มันที่สุดในประวัติศาสตร์แล้วด้วยมั้งนัดนี้
ซึ่งนอกจากโอเว่นจะกลายเป็นตำนานประตูทดเจ็บซ้อนทดเจ็บเหนือซิตี้แล้วนั้น เขายังกลายเป็นอีกหนึ่งนักฟุตบอลที่รู้น้ำหนักถ้วยพรีเมียร์ลีกในปี 2011 คว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จในชีวิตค้าแข้งในที่สุด แถมด้วยแฮททริกหรูๆในแชมเปี้ยนส์ลีกประดับบารมีไปอีกหนึ่งสถิติอีกด้วย
ถึงโอเว่นจะประสบความสำเร็จเพียงแค่ไม่มากกับสโมสรเรา แต่ถ้าหากเทียบกันกับรายอื่นๆนั้น เอาจริงๆแล้วพี่เว่นถือว่าเป็นเบอร์7ที่ดีที่สุดนับหลังจากคริสเตียโน่ โรนัลโด้เลยทีเดียว ซึ่งมันก็จริงเพราะว่า นักเตะคนอื่นๆหลังจากนั้นไม่มีใครที่จะเข้าใกล้กับโรนัลโด้ได้เลย (หรือแม้กระทั่งโอเว่นเองก็ตาม) เพราะเบอร์นี้มันหนักหนาเกินไป
สำหรับนักเตะอย่าง อันโตนิโอ วาเลนเซีย และรวมถึงเมมฟิส, แน่นอน ไอ้งูพิษที่มาลงเล่นแล้วก็ล้มเหลว แถมทรยศสโมสรและหิวเงินอย่างอังเคล ดิมาเรีย ก็แทบจะถูกแฟนผีลืมไปจากสารบบเหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่อีกด้วย
ทางด้านอเล็กซิส ซานเชสเอง ก็เป็นอีกหนึ่งนักเตะโปรไฟล์สุดหรูที่ได้ใส่เบอร์นี้เช่นกัน แต่ว่าไม่สามารถงัดเอาศักยภาพมาใช้ได้คู่ควรกับการใส่เสื้อตัวนี้เลย .. เสื้อหมายเลข7ในขณะนี้จึงถูกเก็บอยู่อย่างเงียบๆในล็อคเกอร์ของโอลด์แทรฟฟอร์ด และเฝ้ารอคอยให้เจ้าของคนต่อไปจะมาสวมใส่มัน ซึ่งหากมีใครคนนั้นปรากฏตัว เขาจะต้องรับมือกับแรงกดดันมหาศาลก่อนที่จะทันได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
ตัดกลับมาที่คาร์ริค หลังจากที่เขาไม่ได้ใส่เสื้อเบอร์7(ซึ่งก็ดีแล้ว) การประสบความสำเร็จของเขา12ปีนับตั้งแต่2006ที่ย้ายมาอยู่กับสโมสรนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่จุดสิ้นสุดเพียงเท่านั้น เพราะนักเตะระดับท็อปผู้ซึ่งunderratedสุดๆรายนี้นั้นจะยังคงมอบ"มรดกสู่อนาคต" ของเขาให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต่ออีกในระยะยาวด้วยบทบาทหน้าที่ของการเป็นโค้ช
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น